
“โซนอุปสงค์และอุปทาน” (Supply and Demand Zones) คือหนึ่งในพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเทรดในตลาด Forex เพราะหากไม่มีแรงซื้อ (อุปสงค์) หรือแรงขาย (อุปทาน) ราคาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย และจะนิ่งอยู่ในเส้นตรงตลอดเวลา แรงอุปสงค์และอุปทานนี่เองที่สร้าง “ความไม่สมดุล” ในตลาด ซึ่งเป็นสาเหตุของการผันผวนของราคา
.
ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ 4 ประเภทของโซนอุปสงค์และอุปทาน ตามแนวคิดของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งแตกต่างจากการวิเคราะห์พื้นฐาน โดยเราสามารถระบุโซนเหล่านี้ได้ง่าย ๆ บนกราฟราคา ผ่านกลยุทธ์พื้นฐานที่สามารถนำไปใช้ในการเทรดจริงได้
.
100 ท่านแรก – รับเครื่องมือช่วยเทรด GOLD FLOW System ฟรี !!
*** 1 เดือน มูลค่า 2590 บาท *** เพียงเข้าร่วมกลุ่ม และ เรียนรู้เรื่องการเทรดไปกับเรา
.
คลิกเข้ากลุ่มเลย >> https://tinyurl.com/mr3trcfu
.
ประเภทของโซนอุปสงค์และอุปทาน
.
ตามหลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค มีโซนอุปสงค์และอุปทานอยู่ทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่
1. Rally-Base-Rally (RBR)
2. Drop-Base-Drop (DBD)
3. Drop-Base-Rally (DBR)
4. Rally-Base-Drop (RBD)
.
โซนอุปสงค์ (Demand Zone) ได้แก่ Rally-Base-Rally และ Drop-Base-Rally
.
ขณะที่โซนอุปทาน (Supply Zone) ได้แก่ Drop-Base-Drop และ Rally-Base-Drop
.
รูปแบบเหล่านี้เป็นเหมือน “รอยเท้า” ของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด (Market Makers) เทรดเดอร์ระดับสูงจำนวนมากใช้แนวคิดนี้ในการวิเคราะห์คู่สกุลเงินในตลาด Forex แม้จะมีรายละเอียดเชิงลึก แต่คุณสามารถเริ่มต้นได้จากสูตรง่าย ๆ เพื่อใช้ระบุโซนบนกราฟราคา
.
สูตรการหาโซนอุปสงค์และอุปทาน
.
• Rally-Base-Rally (RBR): แท่งเทียนเขียวใหญ่ แท่งฐาน
แท่งเทียนเขียวใหญ่
• Drop-Base-Drop (DBD): แท่งเทียนแดงใหญ่ แท่งฐาน
แท่งเทียนแดงใหญ่
• Drop-Base-Rally (DBR): แท่งเทียนแดงใหญ่ แท่งฐาน
แท่งเทียนเขียวใหญ่
• Rally-Base-Drop (RBD): แท่งเทียนเขียวใหญ่ แท่งฐาน
แท่งเทียนแดงใหญ่
.
คำอธิบายเพิ่มเติม:
• แท่งเทียนใหญ่ (Big Candlestick) = แท่งที่ลำตัว (Body) ใหญ่กว่าไส้เทียน (Wick) อย่างชัดเจน
• แท่งฐาน (Base Candlestick) = แท่งที่ลำตัวเล็ก และมักมีไส้เทียนยาวกว่าลำตัว
.
สูตรเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็น “จุดกลับตัว” หรือ “โซนเข้าออเดอร์” ได้ง่ายยิ่งขึ้นจากกราฟราคา
.
ความสำคัญของโซนอุปสงค์และอุปทาน
.
จุดสำคัญที่สุดของโซนอุปสงค์และอุปทานก็คือ โซนเหล่านี้มักเป็นจุดที่มี “คำสั่งซื้อหรือขายที่รอดำเนินการ” ของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารใหญ่ หรือเฮดจ์ฟันด์ นั่นหมายความว่า ถ้าเราสามารถระบุโซนเหล่านี้ได้ เราก็จะสามารถ “ตามรอย” ผู้เล่นรายใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
พูดง่าย ๆ คือ การเทรดด้วยแนวคิด Supply & Demand คือการเทรดโดยเดินตามรอยเท้าของธนาคารและเทรดเดอร์มืออาชีพ ซึ่งควบคุมสัดส่วนมากถึง 94% ของปริมาณการเทรดในตลาด Forex ส่วนอีกแค่ 6% เป็นเทรดเดอร์รายย่อยอย่างเรา ๆ ดังนั้น หากคุณต้องการทำกำไรในตลาดนี้ ต้องเลิกเทรดแบบใช้อารมณ์เหมือนรายย่อย และหันมาอ่านเกมของรายใหญ่ให้ขาดแทน
.
⸻
.
อีกหนึ่งเหตุผลที่แนวคิดโซนอุปสงค์และอุปทานมีความสำคัญก็คือ มันตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “พฤติกรรมราคา (Price Action)”
เนื่องจากรูปแบบทั้ง 4 แบบที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ จะเกิดซ้ำอยู่เรื่อย ๆ ในกราฟแม้จะไม่ใช่ในช่วงเวลาที่แน่นอน รูปแบบเหล่านี้ไม่ใช่สูตรคำนวณที่ซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ แต่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของตลาด ซึ่งนี่เองคือเสน่ห์ของกลยุทธ์นี้ – เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
.
ตัวอย่างของโซนอุปสงค์และอุปทาน ( 1 – 3 ) ตามภาพประกอบ
.
ในส่วนนี้เราจะอธิบายว่า ราคานั้น “ไปรับคำสั่งซื้อหรือขายที่รออยู่ (Pending Orders)” ของสถาบันหรือรายใหญ่ได้อย่างไร จากโซนอุปสงค์หรือโซนอุปทาน
.
ยกตัวอย่างเช่น คู่เงิน USDJPY ได้สร้างโซนอุปสงค์ในรูปแบบ Rally-Base-Rally ซึ่งโซนนั้นยัง “สดใหม่” เพราะ ราคายังไม่เคยกลับมาทดสอบโซนนี้เลย แปลว่า ยังมีคำสั่งซื้อ (Buy Limit Orders) ของรายใหญ่รออยู่ในบริเวณนั้น
.
ตามหลักวิเคราะห์ทางเทคนิค การที่เกิด Demand Zone ขึ้น หมายถึง เทรดเดอร์รายใหญ่ต้องการซื้อสินทรัพย์ที่บริเวณราคานั้น เมื่อราคาทำการเคลื่อนไหวแบบครบรอบ (Swing ครบหนึ่งรอบ) แล้วกลับลงมาแตะ Demand Zone ด้วยแรง (Momentum) นั่นคือจุดที่คำสั่งซื้อที่รออยู่ถูก “เติมเต็ม” (Filled)
.
เมื่อคำสั่งซื้อเหล่านั้นถูกจับ ราคาก็จะเริ่มกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง
เพราะ “อุปสงค์เพิ่มขึ้น” ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นในรอบถัดไป
.
.
ความแตกต่างระหว่าง “วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน” และ “วิเคราะห์ทางเทคนิค” ในเรื่องอุปสงค์-อุปทาน
.
การวิเคราะห์ทั้งสองรูปแบบนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
.
ราคาของสกุลเงินหรือสินทรัพย์จะเคลื่อนไหวขึ้น-ลงเสมอ เพราะความแตกต่างระหว่าง อุปสงค์ (Demand) และ อุปทาน (Supply)
ตัวอย่างเช่น:
• ถ้ามี “คนต้องการซื้อดอลลาร์” มากขึ้น → ความต้องการเพิ่มขึ้น → ราคาดอลลาร์จะสูงขึ้น
• ในทางกลับกัน ถ้ามี “คนต้องการขายดอลลาร์” มากขึ้น → อุปทานเพิ่มขึ้น → ราคาดอลลาร์จะลดลง
.
ข้อมูล ข่าว หรือปัจจัยที่ช่วยให้เรารู้ว่า อุปสงค์หรืออุปทานในตลาดกำลังเปลี่ยนไปอย่างไร
.
สิ่งเหล่านี้คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เช่น ข่าวเศรษฐกิจ นโยบายดอกเบี้ย ตัวเลขเงินเฟ้อ ฯลฯ
.
ส่วนในมุมของ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
.
เราจะไม่สนใจข่าวหรือปัจจัยภายนอก
แต่จะดูจาก “พฤติกรรมของราคา” ที่เกิดขึ้นจริงบนกราฟ เช่น รูปแบบกราฟสามเหลี่ยม (Triangle), ลิ่ม (Wedge), การอัดตัวของราคา (Compression) และการคลายตัวของราคา (Rarefaction)
.
รูปแบบเหล่านี้มักเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ อย่างไม่สม่ำเสมอบนกราฟ และเป็น “รอยเท้า” ที่แสดงให้เห็นว่า
มีอุปสงค์หรืออุปทานอยู่ในช่วงราคานั้น ๆ
.
ตัวอย่างเช่น:
• Rally-Base-Rally = แสดงถึงการสะสมแรงซื้อ (Demand/Compression)
• Drop-Base-Drop = แสดงถึงการสะสมแรงขาย (Supply/Rarefaction)
.
สรุป:
• Fundamental Analysis = วิเคราะห์ “สาเหตุ” ของการเปลี่ยนแปลงราคา ผ่านข่าวและเศรษฐกิจ
• Technical Analysis = วิเคราะห์ “พฤติกรรม” ของราคา ผ่านรูปแบบกราฟที่บ่งบอกจุดเข้าออกของแรงซื้อ/ขาย
.
หากคุณกำลังมองหา แหล่งรวมแผนเทรดทอง ที่ แม่นยำ อัปเดตทุกวัน พร้อม ข่าวสำคัญที่มีผลต่อราคาทอง แบบรู้ก่อนใคร!
Leave a Reply