“ไม่อยากโดนหลอก! เรียนรู้จุดซื้อขายจริงจากแรงซื้อขายรายใหญ่”

“โซนอุปสงค์และอุปทาน” (Supply and Demand Zones) คือหนึ่งในพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเทรดในตลาด Forex เพราะหากไม่มีแรงซื้อ (อุปสงค์) หรือแรงขาย (อุปทาน) ราคาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย และจะนิ่งอยู่ในเส้นตรงตลอดเวลา แรงอุปสงค์และอุปทานนี่เองที่สร้าง “ความไม่สมดุล” ในตลาด ซึ่งเป็นสาเหตุของการผันผวนของราคา

.

ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ 4 ประเภทของโซนอุปสงค์และอุปทาน ตามแนวคิดของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งแตกต่างจากการวิเคราะห์พื้นฐาน โดยเราสามารถระบุโซนเหล่านี้ได้ง่าย ๆ บนกราฟราคา ผ่านกลยุทธ์พื้นฐานที่สามารถนำไปใช้ในการเทรดจริงได้

.

🎁 100 ท่านแรก – รับเครื่องมือช่วยเทรด GOLD FLOW System ฟรี !!

*** 1 เดือน มูลค่า 2590 บาท *** เพียงเข้าร่วมกลุ่ม และ เรียนรู้เรื่องการเทรดไปกับเรา

.

📲 คลิกเข้ากลุ่มเลย >> https://tinyurl.com/mr3trcfu

.

🧭 ประเภทของโซนอุปสงค์และอุปทาน

.

ตามหลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค มีโซนอุปสงค์และอุปทานอยู่ทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่

1. Rally-Base-Rally (RBR)

2. Drop-Base-Drop (DBD)

3. Drop-Base-Rally (DBR)

4. Rally-Base-Drop (RBD)

.

โซนอุปสงค์ (Demand Zone) ได้แก่ Rally-Base-Rally และ Drop-Base-Rally

.

ขณะที่โซนอุปทาน (Supply Zone) ได้แก่ Drop-Base-Drop และ Rally-Base-Drop

.

รูปแบบเหล่านี้เป็นเหมือน “รอยเท้า” ของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด (Market Makers) เทรดเดอร์ระดับสูงจำนวนมากใช้แนวคิดนี้ในการวิเคราะห์คู่สกุลเงินในตลาด Forex แม้จะมีรายละเอียดเชิงลึก แต่คุณสามารถเริ่มต้นได้จากสูตรง่าย ๆ เพื่อใช้ระบุโซนบนกราฟราคา

.

📌 สูตรการหาโซนอุปสงค์และอุปทาน

.

• Rally-Base-Rally (RBR): แท่งเทียนเขียวใหญ่ ➕ แท่งฐาน ➕ แท่งเทียนเขียวใหญ่

• Drop-Base-Drop (DBD): แท่งเทียนแดงใหญ่ ➕ แท่งฐาน ➕ แท่งเทียนแดงใหญ่

• Drop-Base-Rally (DBR): แท่งเทียนแดงใหญ่ ➕ แท่งฐาน ➕ แท่งเทียนเขียวใหญ่

• Rally-Base-Drop (RBD): แท่งเทียนเขียวใหญ่ ➕ แท่งฐาน ➕ แท่งเทียนแดงใหญ่

.

📌 คำอธิบายเพิ่มเติม:

• แท่งเทียนใหญ่ (Big Candlestick) = แท่งที่ลำตัว (Body) ใหญ่กว่าไส้เทียน (Wick) อย่างชัดเจน

• แท่งฐาน (Base Candlestick) = แท่งที่ลำตัวเล็ก และมักมีไส้เทียนยาวกว่าลำตัว

.

สูตรเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็น “จุดกลับตัว” หรือ “โซนเข้าออเดอร์” ได้ง่ายยิ่งขึ้นจากกราฟราคา

.

🌟 ความสำคัญของโซนอุปสงค์และอุปทาน

.

จุดสำคัญที่สุดของโซนอุปสงค์และอุปทานก็คือ โซนเหล่านี้มักเป็นจุดที่มี “คำสั่งซื้อหรือขายที่รอดำเนินการ” ของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารใหญ่ หรือเฮดจ์ฟันด์ นั่นหมายความว่า ถ้าเราสามารถระบุโซนเหล่านี้ได้ เราก็จะสามารถ “ตามรอย” ผู้เล่นรายใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.

พูดง่าย ๆ คือ การเทรดด้วยแนวคิด Supply & Demand คือการเทรดโดยเดินตามรอยเท้าของธนาคารและเทรดเดอร์มืออาชีพ ซึ่งควบคุมสัดส่วนมากถึง 94% ของปริมาณการเทรดในตลาด Forex ส่วนอีกแค่ 6% เป็นเทรดเดอร์รายย่อยอย่างเรา ๆ ดังนั้น หากคุณต้องการทำกำไรในตลาดนี้ ต้องเลิกเทรดแบบใช้อารมณ์เหมือนรายย่อย และหันมาอ่านเกมของรายใหญ่ให้ขาดแทน

.

.

อีกหนึ่งเหตุผลที่แนวคิดโซนอุปสงค์และอุปทานมีความสำคัญก็คือ มันตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “พฤติกรรมราคา (Price Action)”

เนื่องจากรูปแบบทั้ง 4 แบบที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ จะเกิดซ้ำอยู่เรื่อย ๆ ในกราฟแม้จะไม่ใช่ในช่วงเวลาที่แน่นอน รูปแบบเหล่านี้ไม่ใช่สูตรคำนวณที่ซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ แต่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของตลาด ซึ่งนี่เองคือเสน่ห์ของกลยุทธ์นี้ – เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

.

📌 ตัวอย่างของโซนอุปสงค์และอุปทาน ( 1 – 3 ) ตามภาพประกอบ

.

ในส่วนนี้เราจะอธิบายว่า ราคานั้น “ไปรับคำสั่งซื้อหรือขายที่รออยู่ (Pending Orders)” ของสถาบันหรือรายใหญ่ได้อย่างไร จากโซนอุปสงค์หรือโซนอุปทาน

.

ยกตัวอย่างเช่น คู่เงิน USDJPY ได้สร้างโซนอุปสงค์ในรูปแบบ Rally-Base-Rally ซึ่งโซนนั้นยัง “สดใหม่” เพราะ ราคายังไม่เคยกลับมาทดสอบโซนนี้เลย แปลว่า ยังมีคำสั่งซื้อ (Buy Limit Orders) ของรายใหญ่รออยู่ในบริเวณนั้น

.

ตามหลักวิเคราะห์ทางเทคนิค การที่เกิด Demand Zone ขึ้น หมายถึง เทรดเดอร์รายใหญ่ต้องการซื้อสินทรัพย์ที่บริเวณราคานั้น เมื่อราคาทำการเคลื่อนไหวแบบครบรอบ (Swing ครบหนึ่งรอบ) แล้วกลับลงมาแตะ Demand Zone ด้วยแรง (Momentum) นั่นคือจุดที่คำสั่งซื้อที่รออยู่ถูก “เติมเต็ม” (Filled)

.

เมื่อคำสั่งซื้อเหล่านั้นถูกจับ ราคาก็จะเริ่มกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง

เพราะ “อุปสงค์เพิ่มขึ้น” ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นในรอบถัดไป

.

.

⚖️ ความแตกต่างระหว่าง “วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน” และ “วิเคราะห์ทางเทคนิค” ในเรื่องอุปสงค์-อุปทาน

.

การวิเคราะห์ทั้งสองรูปแบบนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

.

📌 ราคาของสกุลเงินหรือสินทรัพย์จะเคลื่อนไหวขึ้น-ลงเสมอ เพราะความแตกต่างระหว่าง อุปสงค์ (Demand) และ อุปทาน (Supply)

ตัวอย่างเช่น:

• ถ้ามี “คนต้องการซื้อดอลลาร์” มากขึ้น → ความต้องการเพิ่มขึ้น → ราคาดอลลาร์จะสูงขึ้น

• ในทางกลับกัน ถ้ามี “คนต้องการขายดอลลาร์” มากขึ้น → อุปทานเพิ่มขึ้น → ราคาดอลลาร์จะลดลง

.

🔎 ข้อมูล ข่าว หรือปัจจัยที่ช่วยให้เรารู้ว่า อุปสงค์หรืออุปทานในตลาดกำลังเปลี่ยนไปอย่างไร

.

สิ่งเหล่านี้คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เช่น ข่าวเศรษฐกิจ นโยบายดอกเบี้ย ตัวเลขเงินเฟ้อ ฯลฯ

.

📊 ส่วนในมุมของ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

.

เราจะไม่สนใจข่าวหรือปัจจัยภายนอก

แต่จะดูจาก “พฤติกรรมของราคา” ที่เกิดขึ้นจริงบนกราฟ เช่น รูปแบบกราฟสามเหลี่ยม (Triangle), ลิ่ม (Wedge), การอัดตัวของราคา (Compression) และการคลายตัวของราคา (Rarefaction)

.

รูปแบบเหล่านี้มักเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ อย่างไม่สม่ำเสมอบนกราฟ และเป็น “รอยเท้า” ที่แสดงให้เห็นว่า

มีอุปสงค์หรืออุปทานอยู่ในช่วงราคานั้น ๆ

.

📌 ตัวอย่างเช่น:

• Rally-Base-Rally = แสดงถึงการสะสมแรงซื้อ (Demand/Compression)

• Drop-Base-Drop = แสดงถึงการสะสมแรงขาย (Supply/Rarefaction)

.

✨ สรุป:

• Fundamental Analysis = วิเคราะห์ “สาเหตุ” ของการเปลี่ยนแปลงราคา ผ่านข่าวและเศรษฐกิจ

• Technical Analysis = วิเคราะห์ “พฤติกรรม” ของราคา ผ่านรูปแบบกราฟที่บ่งบอกจุดเข้าออกของแรงซื้อ/ขาย

.

หากคุณกำลังมองหา แหล่งรวมแผนเทรดทอง ที่ แม่นยำ อัปเดตทุกวัน พร้อม ข่าวสำคัญที่มีผลต่อราคาทอง แบบรู้ก่อนใคร!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

หน้าแรก
บทความ
สอนเทรด
สำหรรับสมาชิก
ค้นหา
× Add a menu in "WP Dashboard->Appearance->Menus" and select Display location "WP Bottom Menu"