ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์สายโหด รูปแบบกราฟเหล่านี้จะช่วยให้คุณจับจังหวะตลาดได้แม่นยำขึ้น “เข้าไว ออกแม่น”
อธิบายรายละเอียดของแต่ละรูปแบบกราฟ (Chart Patterns)
Continuation Patterns: เหมาะสำหรับเทรดตามแนวโน้ม
Continuation Patterns เป็นรูปแบบกราฟที่บ่งบอกว่าราคากำลังพักตัวชั่วคราว ก่อนจะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางเดิม ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง เทรดเดอร์มักใช้รูปแบบเหล่านี้เพื่อหาโอกาสเข้าซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) ตามแนวโน้มหลัก เช่น ธง (Flag), ลิ่ม (Wedge), และสามเหลี่ยม (Triangle) การเข้าเทรดมักเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับของรูปแบบ ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์ติดตามแนวโน้มได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องคาดเดาการกลับตัวของตลาด
Reversal Patterns: เหมาะสำหรับจับจังหวะเปลี่ยนแนวโน้ม
Reversal Patterns เป็นรูปแบบกราฟที่ส่งสัญญาณว่าแนวโน้มปัจจุบันอาจกำลังเปลี่ยนทิศทางจากขาขึ้นเป็นขาลง หรือจากขาลงเป็นขาขึ้น เทรดเดอร์ใช้รูปแบบเหล่านี้เพื่อตรวจจับจุดกลับตัวของตลาดและเตรียมปรับกลยุทธ์ เช่น การปิดสถานะเดิมหรือเปิดสถานะใหม่ในทิศทางตรงกันข้าม ตัวอย่างของรูปแบบกลับตัวที่นิยมได้แก่ หัวและไหล่ (Head & Shoulders), สองยอด/สองฐาน (Double Top/Bottom), และสามยอด/สามฐาน (Triple Top/Bottom) การเข้าเทรดมักเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับของรูปแบบ เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
Continuation Patterns (รูปแบบต่อเนื่อง)
รูปแบบเหล่านี้แสดงถึงแนวโน้มที่มีโอกาสดำเนินต่อไปในทิศทางเดิม
1. Descending Triangle (สามเหลี่ยมลดลง)
• เป็นรูปแบบขาลง (Bearish) ที่มีแนวรับแนวนอน (เส้นล่าง) และแนวต้านลาดลง (เส้นบน)
• ราคาเคลื่อนที่ในช่วงแคบลง และหากทะลุแนวรับลงมา แสดงถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้น
• กลยุทธ์เทรด: รอราคาทะลุแนวรับเพื่อเปิดสถานะขาย (Short) โดยตั้ง TP ตามระยะสูงสุดของรูปแบบสามเหลี่ยม
2. Ascending Triangle (สามเหลี่ยมขาขึ้น)
• เป็นรูปแบบขาขึ้น (Bullish) ที่มีแนวต้านแนวนอน (เส้นบน) และแนวรับที่ลาดขึ้น (เส้นล่าง)
• ราคาทำจุดต่ำสุดสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งทะลุแนวต้าน
• กลยุทธ์เทรด: รอราคาทะลุแนวต้านเพื่อเปิดสถานะซื้อ (Long) โดยตั้ง TP ตามระยะสูงสุดของรูปแบบสามเหลี่ยม
3. Bearish Flag (ธงขาลง)
• เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน แล้วมีการพักตัวเป็นรูปธงเอียงขึ้น
• หากราคาทะลุแนวรับของธงลงไป มักจะมีการลงต่อไปอีกเท่ากับความสูงของเสาธงก่อนหน้า
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Short เมื่อราคาหลุดออกจากธงลง และตั้ง SL เหนือแนวต้านของธง
4. Bullish Flag (ธงขาขึ้น)
• เป็นรูปแบบขาขึ้นที่เกิดขึ้นหลังจากราคาพุ่งแรง แล้วมีการพักตัวเป็นรูปธงเอียงลง
• เมื่อทะลุแนวต้านของธงขึ้นไป ราคามักจะพุ่งขึ้นต่อไปอีกเท่ากับเสาธงก่อนหน้า
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Long เมื่อราคาทะลุขึ้นจากธง และตั้ง SL ใต้แนวรับของธง
5. Bearish Wedge (ลิ่มขาลง)
• มีลักษณะคล้าย Bearish Flag แต่เส้นขอบทั้งสองด้านลาดลงไป
• หากราคาทะลุเส้นแนวรับของลิ่ม แสดงถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้น
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Short เมื่อลิ่มขาลงถูกทะลุ และตั้ง TP ตามระยะสูงสุดของลิ่ม
6. Bullish Wedge (ลิ่มขาขึ้น)
• มีลักษณะคล้าย Bullish Flag แต่เส้นขอบทั้งสองด้านลาดขึ้นไป
• หากราคาทะลุเส้นแนวต้านของลิ่มขึ้นไป แสดงถึงแรงซื้อที่เพิ่มขึ้น
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Long เมื่อลิ่มขาขึ้นถูกทะลุ และตั้ง TP ตามระยะสูงสุดของลิ่ม
7. Symmetrical Triangle (สามเหลี่ยมสมมาตร)
• เกิดจากเส้นแนวรับและแนวต้านที่ลาดเข้าหากัน ราคาแกว่งตัวแคบลง
• หากราคาทะลุแนวต้าน → ขาขึ้น (Bullish)
• หากราคาทะลุแนวรับ → ขาลง (Bearish)
• กลยุทธ์เทรด: รอให้ราคาทะลุออกจากรูปสามเหลี่ยมและเข้าเทรดตามทิศทางที่ทะลุ
Reversal Patterns (รูปแบบกลับตัว)
รูปแบบเหล่านี้แสดงถึงแนวโน้มที่มีโอกาสเปลี่ยนทิศทาง
8. Head & Shoulders (หัวและไหล่)
• เป็นรูปแบบกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง
• มีโครงสร้าง 3 ส่วน: ไหล่ซ้าย (Left Shoulder), หัว (Head), และไหล่ขวา (Right Shoulder)
• เส้นคอ (Neckline) เป็นแนวรับหลัก ถ้าหลุดลงไปแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขาลง
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Short เมื่อราคาหลุด Neckline และตั้ง TP ตามระยะจาก Head ถึง Neckline
9. Inverted Head & Shoulders (หัวและไหล่กลับหัว)
• เป็นรูปแบบกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น
• มีโครงสร้างเดียวกับ Head & Shoulders แต่กลับหัว
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Long เมื่อราคาทะลุ Neckline ขึ้นไป และตั้ง TP ตามระยะจาก Head ถึง Neckline
10. Rising Wedge (ลิ่มขาขึ้น)
• เป็นรูปแบบกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง
• ราคาสร้างจุดสูงสุดสูงขึ้นและจุดต่ำสุดสูงขึ้น แต่ช่วงแกว่งแคบลง
• หากราคาหลุดเส้นแนวรับ มักจะมีแรงขายลงมาแรง
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Short เมื่อลิ่มขาขึ้นถูกทะลุ และตั้ง TP ตามระยะสูงสุดของลิ่ม
11. Falling Wedge (ลิ่มขาลง)
• เป็นรูปแบบกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น
• ราคาสร้างจุดสูงสุดต่ำลงและจุดต่ำสุดต่ำลง แต่ช่วงแกว่งแคบลง
• หากราคาทะลุเส้นแนวต้าน มักจะพุ่งขึ้นแรง
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Long เมื่อลิ่มขาลงถูกทะลุ และตั้ง TP ตามระยะสูงสุดของลิ่ม
12. Double Top (รูปแบบสองยอด)
• เป็นรูปแบบกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง
• ราคาทดสอบแนวต้านเดิมสองครั้งแต่ไม่สามารถทะลุได้
• หากราคาหลุดแนวรับหลัก แสดงว่าแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขาลง
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Short เมื่อราคาหลุดแนวรับ และตั้ง TP ตามระยะจากยอดถึงแนวรับ
13. Double Bottom (รูปแบบสองฐาน)
• เป็นรูปแบบกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น
• ราคาทดสอบแนวรับเดิมสองครั้งแต่ไม่สามารถลงต่อได้
• หากราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป แนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Long เมื่อราคาทะลุแนวต้าน และตั้ง TP ตามระยะจากฐานถึงแนวต้าน
14. Triple Top (สามยอด)
• คล้าย Double Top แต่มีการทดสอบแนวต้านสามครั้ง
• หากราคาหลุดแนวรับหลัก จะเป็นสัญญาณขาลงที่แข็งแกร่ง
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Short เมื่อราคาหลุดแนวรับ และตั้ง TP ตามระยะจากยอดถึงแนวรับ
15. Triple Bottom (สามฐาน)
• คล้าย Double Bottom แต่มีการทดสอบแนวรับสามครั้ง
• หากราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป จะเป็นสัญญาณขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
• กลยุทธ์เทรด: เปิด Long เมื่อราคาทะลุแนวต้าน และตั้ง TP ตามระยะจากฐานถึงแนวต้าน
สรุป:
• Continuation Patterns เหมาะสำหรับเทรดตามแนวโน้ม
• Reversal Patterns เหมาะสำหรับจับจังหวะเปลี่ยนแนวโน้ม
ใส่ความเห็น